เกิดอะไรขึ้น ทำไมเนื้อหมูถึงแพง

เกิดอะไรขึ้น ทำไมเนื้อหมูถึงแพง ?

 

           ระยะเวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา แม้ยังคงไม่ได้ฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดิมก่อนโควิด-19 แต่กลับเริ่มเห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ ( หรือภาวะเศรษฐกิจที่ระดับราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือถ้าพิจารณาจากค่าของเงิน เงินเฟ้อ คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ค่าเงินมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจะซื้อของชิ้นเดิมนั้นต้องใช้เงินมากกว่าเดิม แปลง่าย ๆ อีกแบบก็คือของแพงขึ้นนั่นเอง ) สุขภาพดีดี.com  มีข้อมูลดีๆมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านเกี่ยวกับหัวข้อ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเนื้อหมูถึงแพง ? ให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ

 

           สังเกตได้จากจากราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ปรับเพิ่มขึ้น ทั้งราคาพลังงานและอาหารสด โดยเฉพาะราคาเนื้อสุกรที่ปรับตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยราคาเนื้อสุกร (เนื้อแดง) อัพเดทราคาล่าสุด ( 12/1/2022 ) อยู่ที่ราวกิโลกรัมละ 200 บาทและคาดว่าราคาอาจจะขยับสูงขึ้นอีก ส่งผลให้ผู้ประกอบการขายปลีกเนื้อสุกร (หมูเขียง) โดยเฉพาะรายย่อย และผู้ประกอบร้านอาหารหลายรายเริ่มแบกรับต้นทุนไม่ไหว จนต้องทยอยปรับเพิ่มราคา หรือแม้กระทั่งชะลอหรือหยุดขายชั่วคราว

 

           “เนื้อหมู” โปรตีนที่คนไทยนิยมบริโภคมีการปรับราคาต่อกิโล ขึ้นมาเกือบเท่าค่าแรงขั้นต่ำต่อวันของคนไทย แสดงให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบกับผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว แต่กลับส่งผลไปทั้งระบบ ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงหมูก็ต้องแบกรับภาระหนี้สินที่ท่วมตัว ทำให้เกษตรกรรายย่อยบางส่วนจะต้องออกจากภาคส่วนนี้ไป ในส่วนของการค้าปลีกและค้าส่ง พ่อค้าแม่ค้าแผงหมูขายหมูได้น้อยลง แผงหมูลดน้อยลงหรือปิดไปเลยก็มีเพราะขายของไม่ได้ รวมไปถึงร้านอาหารต่าง ๆ ที่มีการปรับราคาขึ้น 

 

           อ้างอิงจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าปัจจัยที่ทำให้ราคาเนื้อสุกรปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากทั้งด้าน อุปสงค์และอุปทาน โดยภายหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ทำให้เกิด Pent-up demand หรือการอัดอั้นใช้จ่ายมาก่อนหน้านี้ ประกอบกับมีความต้องการบริโภคเนื้อสุกรในช่วงเทศกาลปลายปี ขณะที่ปริมาณเนื้อสุกรมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด

 

สาเหตุปัญหาหมูแพง

  1. ปัญหาโรคระบาดในสุกรที่กระจายเป็นวงกว้าง เนื่องจากมีโรคระบาดในสุกรทั่วประเทศไทย ทำให้ต้องมีความจำเป็นในการกำจัดสุกรเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรค การกำจัดนั้นทำให้ปริมาณของสุกรนั้นน้อยลง และขาดตลาดมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงต่อโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ที่กำลังแพร่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งโรคดังกล่าวยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษาโรค
  2. ต้นทุนการผลิตเนื้อสุกรปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ ต้นทุนทั้งหมดตั้งแต่เลี้ยง ขนส่ง และแปรรูป เช่น ทุนค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และต้นทุนค่าอาหารสัตว์ซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของต้นทุนทั้งหมดก็ปรับเพิ่มขึ้น โดยวัตถุดิบที่ใช้ผลิตอาหารสัตว์ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพงขึ้นตามค่าขนส่งและยังต้องเสียภาษีนำเข้า เช่น ราคากากถั่วเหลืองปรับเพิ่มขึ้นกว่า 30% ตลอดจนต้นทุนในการควบคุมและป้องกันโรคระบาดในฟาร์มที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มราว 500 บาทต่อตัว
  3. เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร โดยเฉพาะรายย่อยลดการเลี้ยงสุกรลง บางส่วนปิดกิจการหรืออาจจะยังไม่มีความมั่นใจที่จะกลับมาเลี้ยงสุกรเต็มกำลัง เนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อสุกรในช่วงล็อกดาวน์จากแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสาม ประกอบกับในช่วงก่อนหน้าภาครัฐขอให้ตรึงราคาเนื้อสุกรไว้ เกษตรกรจึงต้องแบกรับต้นทุนจำนวนมากและเกิดภาวะขาดทุนสะสมมาอย่างต่อเนื่อง

 

ผลกระทบของปัญหาหมูแพง

การเพิ่มขึ้นของราคาเนื้อสุกรส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งผู้ประกอบการขายปลีกเนื้อสุกร (หมูเขียง) โดยเฉพาะรายย่อย ผู้ประกอบการร้านอาหาร ตลอดจนส่งผ่านมายังผู้บริโภคทำให้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านอาหารเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

  1. ผู้ประกอบการขายปลีกเนื้อสุกร (หมูเขียง) โดยเฉพาะรายย่อยที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5,000 รายทั่วประเทศไม่สามารถแบกรับต้นทุนทั้งราคาเนื้อสุกรหน้าฟาร์มที่แพงขึ้นและการเพิ่มขึ้นของค่าขนส่ง ตลอดจนไม่สามารถแข่งขันราคาได้เหมือนผู้ประกอบการรายใหญ่ นอกจากนี้ผู้บริโภคบางรายอาจเปลี่ยนไปบริโภคเนื้อสัตว์ประเภทอื่นที่ราคาถูกกว่าแทน ทำให้ขายได้ปริมาณน้อยลงจนอาจทำให้จำเป็นต้องปิดกิจการ
  2. ผู้ประกอบการร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านอาหารที่ใช้เนื้อสุกรเป็นวัตถุดิบหลัก เช่น ร้านชาบู-หมูกระทะ เป็นต้น จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แม้ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารอาจจะเริ่มฟื้นตัวบ้างภายหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ทยอยกลับมาฟื้นตัว แต่กลับต้องมาเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงอีกทำให้หลายรายจำเป็นต้องปรับเพิ่มราคาอาหาร แต่คาดว่าคงเพิ่มราคาได้ในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาในธุรกิจร้านอาหารมีค่อนข้างสูง
  3. ผู้บริโภค จะต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายด้านอาหารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยผู้บริโภคมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายอาหารสดต่อคนต่อเดือนราว 50%  เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายอาหารทั้งหมด ซึ่งส่วนนี้ผู้บริโภคจะต้องแบกรับราคาเนื้อสุกรที่เพิ่มขึ้นโดยตรงหากไม่มีทางเลือกในการหันไปหาอาหารประเภทอื่น ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำหรับรับประทานอาหารนอกบ้านและซื้ออาหารที่ปรุงสำเร็จต่อคนต่อเดือนมีสัดส่วนราว 50% ผู้บริโภคก็อาจจะต้องแบกรับต้นทุนบางส่วนจากการขึ้นราคาค่าอาหาร

 

           ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า จากราคาเนื้อสัตว์ (เนื้อสุกรและเนื้อไก่) และวัตถุดิบอาหารที่สำคัญอื่นๆ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น น่าจะกดดันให้ค่าใช้จ่ายด้านอาหารของผู้บริโภคต่อคนต่อเดือนในปี 2565 เพิ่มขึ้นราว 8-10% ซึ่งส่วนนี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ที่ก็เริ่มมีสัญญาณปรับตัวสูงขึ้น เช่น ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม) ค่าเดินทาง เป็นต้น สวนทางกับรายได้ครัวเรือนที่ยังคงเปราะบางซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อครัวเรือนที่น่าจะยังไม่ฟื้นตัวดีนัก

 

           ทำให้ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันแก้ไขปัญหาสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารสด อาหารจานด่วนทั้งหลายที่จ่อปรับราคาแพงขึ้นนี้ได้อย่างไร เพราะอาจถือว่าเป็นการซ้ำเติมในยุคที่รายได้ไม่ฟื้นจากผลกระทบของโควิด และยังต้องมาเจอกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นสวนทางกับรายได้เช่นนี้

 

ที่มาข้อมูล : https://www.dailynews.co.th/news/646073/

https://www.thansettakij.com/economy/509310

https://www.bbc.com/thai/thailand-59892460

 

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *