วัคซีนดีจริงมั้ย ควรฉีดหรือป่าว?
เป็นทั้งข้อสงสัย และข้อถกเถียงกันมาก ว่า “ควรฉีด” หรือ “ไม่ควรฉีด” วัคซีน โควิด-19 และถ้าฉีดควรฉีดของใครดี ระหว่างจีน อังกฤษ อเมริกา หรือแม้แต่ในชาติเดียวกัน ก็ต้องมาดูอีกว่า จะฉีดของยี่ห้อไหนถึงจะ Work สุด เรียกว่า ต้องหาข้อมูลกันพอสมควรก่อนการตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม มาถึงวันนี้ วงการแพทย์ทั่วโลก ต่างยืนยันตรงกันแล้วว่า การฉีดวัคซีน COVID-19 ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องทำควบคู่ไปกับการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือให้บ่อย และเลี่ยงพื้นที่แออัด เพราะเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 สามารถแพร่จากคนสู่คน โดยผ่านละอองฝอย (Droplets) จากการไอหรือจาม การสัมผัสสารคัดหลั่ง (Contact) เช่น น้ำลาย น้ำมูก เสมหะ ฯลฯ
สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก่อนฉีดควรเรียนรู้หลักการของการได้รับวัคซีนก่อนว่า โดยปกติเมื่อเชื้อโรคทุกชนิดเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะมีวิธีจัดการเชื้อหลายแบบ หนึ่งในนั้นคือเม็ดเลือดขาวชนิด Macrophage จะกลืนเชื้อเข้าไปและทิ้งเศษซากเชื้อบางส่วนไว้เรียกว่า แอนติเจน (Antigen) ร่างกายจะรับรู้ว่าแอนติเจนคือสิ่งแปลกปลอม และเมื่อเจอกับสิ่งแปลกปลอม ร่างกายก็จะสร้างแอนติบอดี (Antibody) มาจัดการสิ่งแปลกปลอมนั้น รวมถึงมีเม็ดเลือดขาวอีกชนิดหนึ่งที่จำว่าเชื้อโรคนี้คือสิ่งแปลกปลอมที่หากได้รับเชื้ออีกในอนาคตร่างกายจะสามารถจดจำและจัดการได้ ซึ่งการฉีดวัคซีนก็คือ การเลียนแบบกลไกการจัดการเชื้อโรคของร่างกายนั่นเอง
วัคซีนป้องกันโควิด-19 จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ป้องกันการติดเชื้อ หากได้รับเชื้อในอนาคต ซึ่งต้องใช้เวลาระยะหนึ่งหลังฉีดวัคซีน ที่เรียกว่า “กระตุ้นภูมิ” คือ ร่างกายจะค่อยๆ สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา
วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อีกตัวที่เริ่มมีการฉีดในช่วงแรกๆ คือ วัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ที่ร่วมพัฒนากับบริษัทไบออนเทค วัคซีนตัวนี้ได้ถูกระบุว่ามีอัตราการป้องกันโรคได้มากถึง 97% ซึ่งทางบริษัทได้เตรียมเดินหน้ายื่นขอการอนุมัติการใช้ฉุกเฉินเพื่อฉีดให้แก่เด็กที่มีอายุระหว่าง 12-15 ปี โดยเป็นวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และต้องถูกจัดเก็บในอุณหภูมิที่เย็นจัด -70 องศา ซึ่งอาจจะทำให้การขนส่งวัคซีนนั้นไม่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายที่สูง
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือเอฟดีเอ ของสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนฉุกเฉินจาก 3 บริษัท ได้แก่ ไฟเซอร์, โมเดอร์นา และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งวัคซีนทั้งสามตัวนั้นมีอัตราการป้องกันโรคในระดับสูง โมเดอร์นาและไฟเซอร์มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคถึง 95% ขณะที่จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีประสิทธิภาพ 72% และล่าสุด เอฟดีเอ สหรัฐฯ ได้สั่งให้มีการระงับวัคซีนโควิด-19 ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีปัญหาเรื่องลิ่มเลือดอุดตัน จนกว่าจะมีงานวิจัยที่ยืนยันความปลอดภัยของวัคซีนดังกล่าว
วัคซีนโควิดมีอะไรบ้าง วัคซีนดีจริงมั้ย และผลข้างเคียงของแต่ละวัคซีนเป็นยังไงเราไปดูกัน
1.Pfizer biontech (ไฟเซอร์ ไบ โอเอ็นเทค)
– คัน บวม ตามใบหน้าและลิ้น
– หายใจลำบาก ความดันตก
– พบใน ญี่ปุ่น อังกฤษ
2.Modderna (โมเดอร์น่า)
– อาจมีอาการแพ้รุนแรง
– ต้องฉีดอะดรีนาลีนเข้ากล้ามเนื้อ
– พบใน สหรัฐอเมริกา
3.AstraZeneca (แอสตร้าเซนเนก้า)
– อาจมีลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
– EMA ระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำ
– พบใน ประเทศแถบยุโรป
4.Sinovac (ซิโนแวค)
– ปวดหัว เป็นไข้อ่อน
– มีอาการ Stroke
– พบใน ไทย
5.Johnson and Jonson (จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน)
– อ่อนเพลีย ปวดหัว
– อาจมีอาการคล้าย กับแอสตร้าเซเนกัล
– พบใน สหรัฐอเมริกา
6.Sputnik V (สปุตนิค วี)
– อ่อนเพลีย อาการคล้ายวัคซีนชนิดอื่นๆ
– ยังไม่มีรายงาน ผลข้างเคียงที่รุนแรง
วัคซีนโควิดที่เริ่มฉีดในประเทศไทยมีชนิดไหนบ้าง?
ขณะนี้วัคซีนโควิดที่ได้รับอนุญาตให้ฉีดในประเทศไทยมี 2 ชนิดด้วยกันคือ
1.วัคซีนซิโนแวค เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated Vaccine) ซึ่งเป็นประเภทดียวกับวัคซีนที่ใช้กันอยู่หลายๆ วัคซีน เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ
2.วัคซีนของแอสทราเซเนก้า เป็นวัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ (Virus Vector) พาสารพันธุกรรม ของไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ร่างกายสร้างโปรตีนเลียนแบบไวรัส จากนั้นโปรตีนนี้จะมากระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Anti Body ต่อไวรัสขึ้นมาสำหรับประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งสองชนิด เบื้องต้นพบว่าไม่แตกต่างกัน สามารถป้องกันอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิดรุนแรงและเสียชีวิตได้ดี
หลังฉีดวัคซีนแล้วยังมีโอกาสเป็นโควิดหรือไม่?
เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% ดังนั้น แม้ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังมีโอกาสเป็นโรคโควิดได้อยู่ แต่วัคซีนสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค อัตราการนอนโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตได้อย่างชัดเจน
ฉีดวัคซีนแล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง อันตรายหรือไม่?
ผลข้างเคียงที่พบจากวัคซีนส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงเฉพาะที่ เช่น อาการปวดบริเวณที่ฉีด และผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง เช่น ไข้ต่ำ เมื่อยล้า ส่วนอาการแพ้แบบรุนแรง (Anaphylaxis) มีรายงานบ้างแต่พบได้น้อยมาก
คนสูงอายุควรฉีดวัคซีนชนิดไหน?
ในขณะนี้สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป แนะนำให้ฉีดวัคซีนของแอสทราเซเนก้า เนื่องจากมีผลการศึกษาที่รายงานถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในกลุ่มผู้สูงอายุ สำหรับวัคซีนซิโนแวคข้อมูลการศึกษาส่วนใหญ่มาจากผู้รับวัคซีนในช่วงอายุ 18-59 ปี แต่ในผู้ที่อายุเกิน 60 ปีข้อมูลการศึกษายังมีน้อย ในประเทศไทยจึงยังไม่มีการใช้วัคซีนตัวนี้ในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามในอนาคตถ้ามีผลการศึกษาในผู้สูงอายุมากขึ้นก็อาจพิจารณาให้ใช้ในผู้สูงอายุต่อไป
เด็กควรฉีดวัคซีนโควิดหรือยัง?
วัคซีนโควิดทั้งซิโนแวคและวัคซีนของแอสทราเซเนก้ายังไม่มีข้อมูลการศึกษาในคนอายุน้อยกว่า 18 ปี จึงยังไม่มีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนในเด็กในขณะนี้
หญิงตั้งครรภ์ฉีดวัคซีนโควิดได้หรือไม่? เนื่องจากวัคซีนโควิดเป็นวัคซีนใหม่ ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาที่มากพอในหญิงตั้งครรภ์ จึงยังไม่แนะนำให้ฉีดในหญิงตั้งครรภ์ ยกเว้นแต่หญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีโรคประจำตัว หรือเป็นบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่มีโอกาสสัมผัสโรค อาจพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียและปรึกษาแพทย์เป็นกรณีไป
หลังฉีดวัคซีนโควิดต้องตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหรือไม่? หลังฉีดวัคซีนโควิดไม่มีความจำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกัน ยกเว้นมีวัตถุประสงค์ในการตรวจเพื่อการเก็บข้อมูลศึกษาวิจัยเท่านั้น
ตั้งแต่เริ่มมีการพบเชื้อไวรัส COVID-19 ในปลายปี พ.ศ. 2562 นอกจากการสูญเสียชีวิตยังเกิดผลกระทบหลายอย่าง ตามมาทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคม การคิดค้นวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจึงเป็นหนทางสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยลดการติดเชื้อและความสูญเสีย ซึ่งปัจจุบันวัคซีนโควิด-19 ยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยทิศทางงานวิจัยในอนาคต คือ ค้นคว้าวิจัยหายารักษาให้ได้และหาวัคซีนที่ได้ผลดีต่อเชื้อทุกสายพันธุ์อย่างปลอดภัย
REF : EFF VAC
: Moderna Vac