วิธีการรับมือน้ำมันแพง

วิธีการรับมือน้ำมันแพง

 

               เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันดิบทั้งเบนซินและดีเซลปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคครัวเรือน ต้องรับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนต่างๆนั้นสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน ซึ่ง สุขภาพดีดี.com มองเห็นถึงปัญหานี้ ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจในด้านของความเครียดที่มากขึ้น ดังนั้นจึงได้ทำการรวบรวมข้อมูล ” วิธีการรับมือน้ำมันแพง “ มาให้ทุกคนได้อ่านและปรับตัวไปพร้อมๆกันค่ะ 

               มาเริ่มต้นกันที่วิเคราะห์ตัวเลขล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า เมื่อเดือน ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว 27% ขณะที่ราคาเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น 22% โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาสินค้ามากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา คือครัวเรือนของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่อรายได้ในด้านอาหารและพลังงานเป็นหลัก

 

สาเหตุที่น้ำมันแพงขึ้น

               1. สงคราม : เกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ยูเครน และสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายสำคัญของโลก

               2. OPEC : เกิดจากการที่กลุ่มประเทศโอเปก ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ได้ลดกำลังการผลิตน้ำมันลงถึง 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ในปี 2020) ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลน แต่ปัจจุบันกลุ่มโอเปกก็ทยอยผลิตเพิ่มครั้งละ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของโลกอยู่ดี

               3. COVID-19 : สถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปี ทำให้เศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกสะดุด แต่ก็เริ่มฟื้นตัวในช่วงนี้ ทำให้ความต้องการบริโภคน้ำมันสูงเกินกว่ากำลังการผลิต นี่คือเหตุปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในรอบ 7 ปี

 

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

               นอกจากราคาน้ำมันที่ส่งผลกระทบในระยะสั้นนี้แล้ว ภาคเอกชนยังประเมินอีกว่า ผู้ประกอบการไทยที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ได้แก่

– กลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์

– อุตสาหกรรมเหล็ก

– อุตสาหกรรมยางรถยนต์

– อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูป

– กลุ่ม SME โดยเฉพาะเครื่องสำอาง และอัญมณี

– กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ 

 

วิธีการรับมือน้ำมันแพง

1. ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว โดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง และเผื่อเวลาในการเดินทางให้มากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่คับคั่งในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะเป็นผลดีทั้งในด้านการประหยัดรายจ่ายค่าน้ำมันรถแล้ว ยังช่วยลดความเครียดกับปัญหาการจราจรอีกด้วย

2. เดินออกกำลังกายทดแทนการใช้รถ : เลือกใช้การเดินเท้าในระยะที่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังได้ออกกำลังกายไปในตัว ส่งผลให้สุขภาพของเราแข็งแรงยิ่งขึ้น

3. ปั่นจักรยานแทนการใช้รถยนต์ ช่วยลดพลังงาน ช่วยสิ่งแวดล้อมด้วย

4. ตรวจเช็คสภาพรถและลมยางเป็นประจำ เพื่อให้พร้อมใช้งาน

5. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลรถยนต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของรถยนต์ไม่ให้ใช้งานหนักจนเกินไป และกินน้ำมันมากจนเกินไป  ซึ่งวันนี้สุขภาพดีดีขอแนะนำสินค้า  X1R-Engine Treatment ผลิตภัณฑ์สุดฮิตในช่วงนี้

X1R-Engine Treatment ดีอย่างไร
– ยืดอายุเครื่องยนต์
– อัตราแรงม้าดีขึ้น
– ประหยัดน้ำมัน เนื่องจากเครื่องเผาได้ดี
– สตาร์ทติดง่าย
– ปกป้องเครื่องแม้อากาศเย็น
– ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์
– ลดอุณหภูมิขณะใช้งานรถ
– รอบเครื่องเดินเรียบ เงียบขึ้น
วิธีการใช้งาน
– เติม X-1R Engine Treatment ลงในช่องนํ้ามันเครื่อง
– อายุการใช้งานทุก 20,000 กิโลเมตร
ใช้งานตอนไหน
– สามารถเติมได้ตลอดเวลาที่ต้องการ แต่แนะนำให้ใช้พร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่
– สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทุกขนาด ทุกประเภท รวมทั้งมอเตอร์ไซค์ รถบรรทุกขนาดเบา
– สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทุกระบบเชื้อเพลิง (ดีเซล เบนซิน 95/91 โซฮอล์ 95/91/E20/E85 แก๊ส NGV/LPG)

 

 

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *