คอลลาเจน VS เจลาติน คุณควรจะเลือกอะไร?
คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่มีมากที่สุด ในร่างกายของเรา
แต่เจลาตินเอง ก็เป็นคอลลาเจน แต่เป็นประเภทที่ปรุงสุกแล้ว
ทั้งสองอย่าง มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่คล้ายคลึงกัน
แล้วเราควรจะเลือกกินอะไรดี ??
แต่อย่างไรก็ตามนั้น คอลลาเจนและเจลาติน ก็ยังมีความแตกต่างกัน ในเรื่องของการบริโภค
ดังนั้นหากจะต้องเลือกทานอะไรสักอย่าง ก็ควรจะเลือกจากวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
และ ความต้องการของคุณดังนั้นแล้วในเนื้อหาส่วนนี้ จะเป็นการเปรียบเทียบกันระหว่าง
คอลลาเจนและเจลาตินให้เห็นภาพชัดเพื่อช่วยในเรื่องของการตัดสินใจ
เลือกใช้งานผลิตภัณฑ์ ให้เหมาะสมกับความต้องการ ตรงประเด็น
รายละเอียดทางโภชนาการ ที่คล้ายคลึงกัน ของทั้งสองอย่าง
ความเป็นจริงแล้ว คอลลาเจนนั้น สำคัญมากกับร่างกายของมนุษย์
เนื่องจากมีประมาณมากถึง 30% ในร่างกายของมวลโปรตีนของคุณ และส่วนใหญ่
พบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่นผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ ฟัน และ โครงสร้างสำหรับความ
แข็งแกร่งของร่างกาย รวมถึงสร้างความมั่นคง
ในทางกลับกัน หลายๆคนอาจจะรู้แล้วว่า การสร้างเจลาตินนั้น มีที่มากจากกระดูกของสัตว์ หรือหนังสัตว์
แต่การจะสร้างเจลาตินนั้น ก็คือการย่อยสลายคอลลาเจนบางส่วน โดยการใช้ความร้อน และทำให้ได้ออกมา
ในรูปของเจลาติน ดังนั้นแล้ว เจลาติน = คอลลาเจนแน่นอน
โปรตีนเหล่านี้ มีความคล้ายคลึงกัน ดังนั้นแล้ว จึงต้องการเปรียบเทียบให้เห็นถึงตารางโภชนาการของทั้งสองสิ่ง
ในประมาณเท่ากัน (14 กรัม)
คอลลาเจน เจลาติน
แคลอรี่ 50 47
โปรตีน 12 gram 12 gram
คาร์บ 0 0
แฟต 0 0
อย่างที่เห็นเลย ว่าทั้งสองอย่าง ประกอบด้วย โปรตีเป็นหลัก ในปริมาณเท่ากัน ในน้ำหนักที่เท่ากัน
แต่ว่าคอลลาเจนมีสารอาหาร หรือ ให้พลังงานมากกว่า 3 แคล แต่นั่นไม่ใช่ความต่างที่สร้างความชัด
ในการเผาผลาญของร่างกายที่รับภาระหนักขึ้น หรือ มากขนาดนั้น แปลว่าทั้งสอง
ได้รับปริมาณ ของโภชนาการเท่ากัน ตีตามหลักของฉลากของการให้ข้อมูล
ของโภชนาการ คือ อะไรที่ให้ผลแล้วไม่เกิน 5% จะไม่นับเป็นการให้พลังงาน
จะสังเกตได้ว่า เครื่องดื่ม หรือ ผลิตภัณฑ์อะไรที่เป็น 0 แคลนั้น ความจริงแล้ว อาจจะมีน้ำตาล
หรืออาหารเอื่นร่วมอยู่ด้วย แต่ประมาณรวมทั้งหมด ไม่เกิน 5%
หรือไม่ได้สร้างภาระด้านการทำงาน ให้ร่างกายมาก
ไม่ต้องเผาเป็นแคล ที่เห็นภาพได้ชัด เค้านับว่าไม่มีผล ดังนั้น จึงใส่ 0% ได้
อ่ะๆ กลับมาที่เนื้อหาของคอลลาเจนกันต่อ และ แม้เราจะแบ่งด้วยกรดอะมิโนบางชนิดแล้วนั้น
ส่วนประกอบของโปรตีนไกลซีน ในทั้งสองชนิดก็ยังเหมือนกันอีกด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วก็อาจจะมีความต่างเรื่องของโภชนาการได้
เนื่องจากการสกัดเจลาติน จากหนัง หรือ กระดูกสัตว์ที่แตกต่างกัน
อาจจะให้ผลทางโภชนาการที่แตกต่างกัน รวมถึงวิธีการใช้งานของเจลาติน
ที่อาจจะเติมน้ำตาล หรือ ส่วนประกอบอื่นเข้าไป ทำให้คุณค่าทางโภชนาการนั้น
จะแตกต่างกันอย่างมากยกตัวเองเช่น วุ้น ผลิตภัณฑ์กัมมี่ต่างๆ กัมมี่แบร์
หรือ ขนมอื่นๆ ก็มีการเติมสี และ น้ำตาลเข้าไป
ผลสรุป : คอลลาเจน และ เจนลาติน เหมือนกัน เพียงแต่เจลาติน คือโปรตีนที่ถูกย่อยด้วยความร้อน
มากจากคอลลาเจนอีกที
คอลลาเจน และ เจลาตินนั้น ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย
ทั้งอุตสาหกรรม เครื่องสำอาง อาหารเสริม ยา ซึ่งส่งผลดีกับสุขภาพหลายอย่าง
ตัวเองเช่น ข้อต่อ ผิวหนัง เส้นเลือด ผม เล็บ และอื่น ๆ
และข้อดีอีกอย่าง เป็นเรื่องที่สาว ๆ ต้องถูกใจสิ่งนี้แน่นอน เพราะทั้งสองอย่าง มีส่วนช่วย ในเรื่อง
ของริ้วรอยตามวัย ร่องแก้ม ตีนกา และ อื่นๆ โดยทั้งสองอย่างนั้น สามารถช่วย หรือ เติมเต็มส่วนที่หายไป
ได้บ้าง ไม่ได้ถึงขนาดกินแล้วหน้าเด็กเหมือน 15 อีกครั้ง เพียงแต่มีส่วนช่วยให้ดูดีหรือผลลัพธ์ดีขึ้น
เพราะร่างกายคนเรา มักจะหยุดผลิตคอลลาเจนเพื่อร่างกายตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปี เป็นต้นไป
ดังนั้นจึงตอบคุณได้ว่า ทำไมร่างกายถึงไม่ยืดหยุ่น เจ็บข้อต่อ และไม่แข็งเหมือนตอนยังเด็ก
และยังช่วยดูแลเรื่องผิวที่แห้งกร้าน ปรับเรื่องของการสูญเสียความชุ่มชื้นในผิว และดูแลเรื่องความยืดหยุ่น
ของผิว ที่เป็นผลมากจากเรื่องของการสูญเสียคอลลาเจน ในร่างกาย และ ผิวหนังของคุณ
การศึกษาแสดงผลลัพธ์ที่โคตรชัดเจน เรื่องของการบริโภคคอลลาเจน หรือ เปปไทด์คอลลาเจน
ว่ามีส่วนช่วยในเรื่องผิวหนัง และ ความแห้งกร้านจริงๆ และใครที่กำลังลังเล ว่าผลลัพธ์ที่หลอกรึเปล่า
หรือว่าจะช่วยได้จริงหรือ สูญเปล่าเงินทองรึเปล่า บอกได้เลยว่า กินคอลลาเจนเลย เพราะได้ผลจริงฃ
และการเสียเงินเพื่อวุขภาพ และ ร่างกาย ไม่มีคำว่าไม่คุ้มค่า อย่าลืมนะ ร่างกายหาอะไหล่ไม่ได้นะ
ตัวอย่างการทดลอง ให้ผู้เข้าร่วมการทดลอง ได้ทานคอลลาเจน 10 กรัมทุกวัน พบว่า ผิวหนังชุ่มชื่นขึ้น 28%
และการหายไปของคอลลาเจนในร่างกายดีขึ้น 31%
และไม่ได้ทำการศึกษาแค่ในคนเท่า เพราะมีการศึกษาในสัตว์ ให้ได้รับ เปปไทด์คอลลาเจนจากปลา
ช่วยเพื่มความหนาของผิวหนังสัตว์ได้ถึง 18% และคอลลาเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น 22% และนี่ก็คือความอัศจรรย์
ของการทานคอลลาเจนจริง ๆ
นอกจากนี้ความสำคัญของคอลลาเจนต่อผิวหนังคือ ยังเป็นตัวช่วยในการผลิตสารไฮยาลูลอนิกเอซิส
ที่เป็นสารตัวสำคัญของโครงสร้างผิวหนัง เพื่อลดเลือนริ้วรอย ที่ถูกทำร้ายจากแสงยูวี B
ความสำคัญต่อข้อต่อในร่างกายที่ดีขึ้น ของการทาน คอลลาเจน
การเสริมคอลลาเจนและเจลาติน ช่วยรักษาในส่วนของข้อต่อที่สึกหรอ
จากการออกกำลังกาย และโรคเกี่ยวกับข้อที่อาจจะทำให้บาดเจ็บ หรือ พิการได้
เพราะคอลลาเจนจะเข้าไปสะสมในช่องว่างของข้อต่อ ทำให้กระดูกไม่เสียดกัน
ลดอาการบาดเจ็บ และ อาการตึงตัวได้ เพราะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น
ตัวอย่างการทดลองให้คน 80 คน ทานคอลลาเจน 2 กรัมทุกวัน เป็นเวลา 70 วันนั้น
พบว่าผลลัพธ์ของสุขภาพของข้อต่อดีขึ้นจริง และ ดีมากกว่ากลุ่มที่ถูกควบคุม
หรือ กลุ่มที่ไม่ทานตัวเสริมทั้งสองชนิด อย่างมีนัยสำคัญ
ในการทดลองทำนองเดียวกัน คือในนักกีฬาทานคอลลาเจน 10 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 24 สัปดาห์
ช่วยลดอาการข้อต่ออักเสบ ได้ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกันกับกลุ่มคนปกติ เช่นเดียวกัน
ทั้งการรับประทานคอลลาเจนนั้น ยังช่วยในเรื่องร่างกายส่วนอื่นด้วย ทั้งในเรื่องของการต้าน
อนุมูลอิสระ และ เรื่องการสำไส้ รวมถึง ทางเดินอาหาร ที่ดีขึ้น ลดอัตราการรั่วของลำไส้
ต้านทานความผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย กระดูกต่าง ๆ ก็ดีขึ้น เพราะมวลกระดูกของร่างกายนั้น
แข็งแรงขึ้น และ ยังลดความเสื่อมของกระดูก
แล้วเลือกทานอะไรดีละ คอลลาเจนกับเจลาติน
ทั้งคอลลาเจน และ เจลาติน มีพลังในการถูกดูดซึมสูง หมายความว่า ระบบย่อยและดูดซึม
ของร่างกาย จะถูกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการย่อยคอลลาเจน และ เจลาติน
ดังนั้นแล้วผลลัพธ์เหมือนกัน แต่การตัดสินใจเลือกทาน อยู่ที่วัตถุประสงค์การใช้งานมากกว่า
คอลลาเจนเป็นอาหารเสริมที่ย่อยง่าย ดูดซึมเร็ว ยิ่งเป็นเปปไทด์คอลลาเจนนั้น
ร่างกายยิ่งดูดซึมได้อย่างเต็มที่ ไม่สูญคุณประโยชน์ สามารถใช้ผสมอาหารได้ทั้งคาวหวาน
ร้อนเย็น กาแฟ น้ำผลไม้ อะไรก็ทานคู่กับคอลลาเจนได้ โดยไม่เปลี่ยนคุณประโยชน์ หรือ สูญสลาย
เรื่องของคุณประโยชน์
ในทางกลับกันนั้น เจลาตินนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหารมากกว่า ตัวอย่างเช่น
เยลลี่ หรือ กัมมี่ต่างๆ อาศัยเจลาตินในการขึ้นรูป ซอส หรือ น้ำสลัด แต่ถ้าให้เทียบจริง ๆ แล้ว
คอลลาเจนน่าจะเหมาะกว่า ในการทานเพื่อบำรุงร่างกาย เนื่องจากคอลลาเจน
ที่ใช้สำหรับทานเป็นอาหารเสริม ระบุคุณประโยชน์ ไว้ในฉลากอย่างชัดเจน นั่นแปลว่า
การบริหารจัดการคุณประโยชน์จะง่ายกว่า เจลาติน เลือกทานปริมาณที่เหมาะสมกับบุคคล
และอาการของแต่ละคนได้