3 สมุนไพร ส้มแขก มะขามป้อม สมอไทย ดีท็อกซ์ วิถีไทย
ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย สาขาวิชาโรคทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัยได้ทำการศึกษาคุณภาพ การขับถ่ายของคนไทย พบว่าในคนไทย ประมาณ 24% มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย โดยในกลุ่มผู้มีปัญหา มีอยู่ 3% ที่พบว่ามีการขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ข้อมูลข้างต้นทำให้รู้ว่า คนไทย เกือบ 1 ใน 4 (15 ล้านคน) มีปัญหา การขับถ่าย ซึ่งอาการนี้อาจจะไม่ใช่อาการที่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตแต่ก็ได้สร้างความลำคาญ และเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคร้ายอื่น ๆ ตามมามากมาย
อย่างที่เราทราบกันดีว่าตอนเช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายโดยเฉพาะช่วงเวลา05:00-07:00 ที่ลำไส้ใหญ่ทำงาน ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่เราขับถ่ายอุจจาระได้ง่ายที่สุด
แต่ถ้าใครพลาดนาทีทองไปละก็ อุจจาระเหล่านั้นก็จะถูกดูดน้ำกลับ ทำให้มีสภาพแข็ง ขับถ่ายได้ลำบาก หากยิ่งปล่อยไว้นาน ๆ ไม่ยอมถ่ายออก นอกจากจะรู้สึกอึดอัด อ่อนแรง หงุดหงิดง่ายแล้ว
มีโอกาสเป็นริดสีดวงได้อย่างแน่นอน แต่หนุ่มสาวออฟฟิศจะเอาเวลาที่ไหนมาถ่าย กว่าจะได้นอน กว่าจะตื่น ไหนจะต้องรีบอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัวแล้วก็รีบออกจากบ้าน
กว่าจะฝ่ารถติด กว่าจะได้ทานอะไรรองท้องในตอนเช้า ก็ถึงเวลาเข้างานพอดี เป็นอย่างนี้ตลอดทุกวัน แล้วจะให้เอาเวลาไหนไปเข้าห้องน้ำขับถ่ายอุจจาระล่ะเนี่ย คนสมัยนี้ถึงท้องผูกกันบ่อย
ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ผู้สูงอายุนั้น เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เร่งรีบมากในแต่ละวัน
ภาวะท้องผูกคืออะไร ?
ท้องผูกคืออาการไม่ใช่โรค หมายถึงการที่ลำไส้ไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ง่ายและสม่ำเสมอ โดยมีความถี่ของการขับถ่ายอุจจาระน้อยกว่าทุก ๆ สามวัน หรือวันเว้นสองวัน ร่วมกับก้อนอุจจาระมีลักษณะแข็งและยากต่อการขับถ่ายออกมา บางคนที่มีท้องผูกอาจรู้สึกเจ็บปวดเวลาถ่ายอุจจาระ ซึ่งมักต้องเบ่ง ท้องอืดมีลมเยอะ
แน่นท้องและรู้สึกว่าถ่ายไม่หมด
บางคนอาจคิดว่าตนเองท้องผูกหากไม่ได้ขับถ่ายอุจจาระออกมาทุก ๆ วัน อย่างไรก็ตาม การขับถ่ายมีความแปรปรวนไม่เหมือนกันในแต่ละคน จากวันละสามเวลาไปจนถึงสามวันครั้งได้
เช็คอาการแบบไหน เข้าข่าย ท้องผูก
การวินิจฉัยภาวะท้องผูกนั้น ส่วนใหญ่ได้จากการซักถามอาการและตรวจร่างกาย แพทย์อาจวินิจฉัย
โดยใช้เกณฑ์ ดังนี้คือ การมีอาการสองอาการใด ๆ ต่อไปนี้ ปรากฏขึ้นนานอย่างน้อย 12 สัปดาห์
(ไม่จำเป็นต้องเกิดเรียงลำดับ) ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา 5 อาการได้แก่
-
- ขับถ่ายอุจจาระถี่น้อยกว่า 3 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์
-
- ต้องออกแรงเบ่งมากขณะขับถ่ายอุจจาระ
-
- อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง
-
- รู้สึกว่าถ่ายอุจจาระไม่หมด
-
- รู้สึกว่ามีอะไรมาขัดขวางหรืออุดกั้นบริเวณไส้ตรงต่อกับรูทวาร
ท้องผูกทำให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
ท้องผูกส่งผลกระทบทั้งต่อร่างกายและจิตใจ หลายคนรู้สึกเครียด เบื่ออาหาร ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ปวดหัว ปวดหลัง และแสบร้อนบริเวณหน้าอก ไม่เพียงเท่านั้นการออกแรงเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำยังก่อให้เกิดผลร้ายตามมามากมาย เช่น
- ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารหรือแผลปริรอบ ๆ ทวารหนักจากอุจจาระที่แห้งแข็งครูดหลอดเลือดจนฉีกขาด
- ทำให้ความดันในช่วงทรวงอกเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยโรคหัวใจอาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้
- ทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้นซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดตาและหู
- ทำให้ความดันในช่องท้องสูงขึ้นจนเป็นสาเหตุของไส้เลื่อนได้
- ทำให้กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- ท้องผูกเรื้อรังจนทำให้มีอาการของลำไส้อุดตัน ได้แก่ ปวดท้องมาก อึดอัดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ไม่ผายลม และไม่ถ่ายอุจจาระ
ท้องผูกได้ก็แก้ได้
1.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 50% ของผู้ที่มีอาการท้องผูกสามารถกลับมาขับถ่ายได้ปกติ เพียงแค่ปรับเลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตซึ่ง ได้แก่
- รับประทานอาหารเช้าทุกวันเพราะอาหารเช้าช่วยให้กระเพาะอาหารขยายตัวแล้วเข้าไปกระตุ้นให้ลำใหญ่ทำงานเกิดเป็นความรู้สึกอยากถ่าย โดยควรเผื่อเวลาสำหรับการเข้าห้องน้ำหลังอาหารเช้า
และการเดินหลังอาหารประมาณครึ่งชั่วโมงไว้ด้วย เพราะความรู้สึกอยากถ่ายนั้นเกิดขึ้นเพียงประมาณ 2นาทีเท่านั้น หากไม่มีการถ่าย ความรู้สึกอยากถ่ายจะหายไปและอุจจาระก็จะแข็งขึ้น
ทำให้เกิดปัญหาท้องผูกตามมา
- ดื่มน้ำให้มากพอเพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่มถ่ายง่าย
- ออกกำลังกายและเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ เพื่อให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
2.การฝึกขับถ่ายให้เป็นธรรมชาติ (Biofeedback Training)
หลายคนเบ่งถ่ายผิดวิธีมาทั้งชีวิตโดยไม่รู้ตัวจนทำให้เกิดภาวะท้องผูก ในการฝึกถ่ายอุจจาระอย่างถูกวิธี โดยมีหลักการคือ ฝึกหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นหลักแทนการหายใจด้วยปอด และฝึกเบ่งโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง
3.การใช้สมุนไพรเพื่อช่วยการขับถ่าย และการดีท็อกซ์ สารพิษ พร้อมกับการปรับสมดุล คืนสมดุลในระบบลำไส้ ให้ลำไส้สะอาด และกลับมาทำงานได้ปกติอีกครั้ง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการคิดค้นสูตรยาที่มากกว่าแค่ยาระบาย ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และแพทย์
แผนไทย ได้ค้นคว้าสมุนไพร ที่มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย จนสามารถพัฒนาสูตรยาที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณสมบัติมากกว่ายาระบาย เพราะสามารถขจัดอุจจาระตกค้างพร้อมดีท็อกซ์ ของเสียในร่างกาย
โดยสมุนไพร ดังกล่าวปัจจุบัน อยู่ในรูปแบบที่ทานง่าย คือ แบบแคปซูล โดยมีส่วนผสมสำคัญ คือ
- สารสกัดส้มแขก : ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น และขับไขมันที่อุดตันลำไส้ขวาง
การดูดซึมสารอาหารให้ออกมา
- สารสกัดจากเนื้อมะขามป้อม : ช่วยยับยั้งความเป็นพิษของตับและไต ช่วยถ่ายพยาธิ เป็นยาระบาย
ยังช่วยป้องกันการเกิดแผลในระบบทางเดินอาหาร
- สารสกัดจากสมอไทย : ช่วยขับสารพิษ ช่วยในการขับถ่ายให้คล่องตัว ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยชำระล้างเมือกในลำไส้
ด้วยคุณสมบัติของทั้ง 3 สมุนไพร ทำให้เกิดตำรับยาระบายที่ช่วยผู้ที่มีปัญหาระบบขับถ่ายได้มาก เพราะ
เป็นสมุนไพรที่เป็นนวัตกรรม การสกัดไม่ใช่การบดแล้วอัดเม็ด ทำให้ตัวยาอยู่ในรูปแบบแคปซูล
ขนาดเล็ก และเพราะเป็นสารสกัด จึงได้ตัวยาที่เข้มข้นจึงทานในจำนวนที่น้อยกว่า
แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
เป็นยาถ่ายที่สามารถเปิดทวารได้ คือ ถ่ายเพียง 1-2 ครั้ง แล้วหยุด ไม่เกิดการถ่ายกะปริดกะปรอย
สามารถใช้ชีวิตนอกบ้านได้ตามปกติ
มีลมช่วยเบ่ง สำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีแรง เบ่งโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ
ผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารที่ไม่สามรถเบ่งถ่ายได้ (อาจจะทำให้เลือดออกได้)
ไม่ทำให้หมดแรง ไม่เสียน้ำ ไม่อ่อนเพลีย
ขับถ่ายได้หมดจรดไม่ตกค้าง ภายใน 1-2 ครั้งเท่านั้น
แตกต่างจากยาระบายเดิม เพราะ
ยาระบายแบบเดิม ๆ ไม่สามารถทานได้ต่อเนื่องเพราะจะทำให้เสียสมดุลในการขับถ่ายเกิดอาการติดยา
เมื่อหยุดยาแล้วไม่สามรถ ถ่ายได้ด้วยตัวเองตามปกติ
แต่ยาระบายสูตรนวัตกรรมนี้ จะใช้เป็นยาระบายแบบชั่วคราว หรือทำให้โล่งสบายท้องก็ได้
หรือจะทานทุกวันเพราะรักษา ปรับสมดุลของการทำงานของลำไส้ก็ได้ เพียงทานวันละ 1 แคปซูลก่อนนอน
เป็นประจำ ติดต่อกัน 1-2 เดือน ระบบขับถ่ายก็จะกลับมาเป็นปกติขับถ่ายเองในทุก ๆ วัน โดยไม่ต้องใช้ยาระบาย
อีกต่อไป แถมด้วยสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย