บราซิลโควิด ที่เกือบเอาอยู่ แต่ดันเอาไม่อยู่ซะงั้น ??
บราซิล หนึ่งประเทศที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้อวีปอเมริกาใต้ มีเมืองหลวงเป็น กรุงบาซิเลีย มีชายฝั่งติดทะเล โดยมีพื้นที่รวม 8,511,965 ตารางกิโลเมตร มีสภาพภูมิอากาศเป็นเขตร้อนชื้น ทางใต้มีอากาศอบอุ่นและหนาว ประชากรรวม 193 ล้านคนโดยประมาณ โดยมีระบบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดี ซึ่งมีที่มาการเลือกจากทางตรงและลับ จากประชาชน
บราซิลเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่สุดในทวีป มีอันดับการเติบโตถึงร้อยละ 7.3 ในปี1980 แต่ต้องประสบกับปัญหาหนี้สิน เสถียรภาพทางการเงิน ภาวะเงินเฟ้อ
ทำให้ GDP ลดลงเหลือเพียง 11.6 และมีอัตราการขายตัวที่ร้อยละ 3
บราซิลติดโควิดตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
หากได้ติดตามข่าว จะสังเกตได้ว่า ภาวการณ์ติดเชื้อในบราซิลนั้น ดูไม่รุนแรง หรือ เทียบกับนานาชาติแล้ว บราซิลเงียบกว่า ประเทศชั้นนำ อย่างอังกฤษ อิตาลี หรือประเทศอื่นๆด้วยซ้ำ หากค้นดูในความเป็นจริงแล้ว บราซิลมีผู้ติดเชื้อ ที่เป็น case ที่ได้รับการยืนยันว่า ติดเชื้อโควิด ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 โดยผู้เดินทางมาท่องเที่ยวมีฐานะดี ซึ่งเดินทางมากจายุโรป กระจายการเดินทางครอบคลุมกว่า 82% ของพื้นที่ประเทศ เรียกว่าอยู่ในช่วงที่เชื้อกำลังแพร่ระบาด และ แพร่มาได้สักพักนึงแล้วด้วย ในเหตุการณ์ดังกล่าวชี้ชัดว่า บราซิลมีเวลาในการเตรียมตัวรับมือ เพราะเป็นประเทศที่มี Case Active เป็น ชาติเกือบแรกๆ เหมือนกัน
และในช่วงก่อนหน้านี้นั้น กระบวนการรักษาของบราซิล ทำได้ดีมากเป็นอันดับ 1 ของโลกด้วยซ้ำ เพราะเคยได้รับการบันทึกเรื่องของการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อในวันเดียว คือวันที่ 19 เมษายน ซึ่งถัดจากเดือนที่ติดเชื้อเพียง 2 เดือน สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายจากอาการดังกล่าว ได้ถึง 8104 คน ภายในวันเดียว นัยสำคัญของหลักฐานชี้ชัดว่า บราซิลเองก็มีระบบสาธารณะสุขที่ดีเป็นอันดับต้นๆ หรือ ในช่วงนั้นเรียกว่า อันดับ 1 ได้เลย ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอย่างที่คิด เพราะว่าอัตราผู้เสียชีวิตก็สูงเช่นกันใน 2-3 เดือนแรก บราซิลสูญเสียประชากร สังเวยให้โควิ เป็นจำนวนไม่น้อยถึง 50000 คน เลยทีเดียว และยิ่งเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตเป็น 2 เท่า ในช่วง 50 วันต่อมา???
โดยการคาดการจากผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ในความเป็นจริงแล้วนั้น ประเทศบราซิลอาจจะมีผู้ติดเชื้อ มากกว่าจำนวนที่ชี้แจงต่อสาธารณะชนหลายเท่า เพราะว่าประชาชนนั้น ยังขาดการได้รับการตรวจในวงกว้างอย่างจริงจัง แปลว่าเชื้ออาจจะแพร่ไปไกล และ กว้างมากแล้ว แต่ยังไม่มีการกราดตรวจ ทำให้ปัญหายิ่งลุกลาม ควบคุมได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก
โดยจำนวนที่ชี้แจงดังกล่าวอ้างจากประเทศนั้น ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า มีจำนวนมากกว่าที่แจ้ง 5 หรือ อาจจะเลยเถิดไปถึง 10เท่าด้วยซ้ำ ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงนั้น อาจจะมีจำนวนตั้งแต่ 3 ล้าน ลากยาวไปจนถึง 10 ล้านคน ก็มีความเป็นไปได้
อะไรคือจุดเปลี่ยนของประเทศบราซิล ซึ่งนำพาประเทศจ่อขุมนรกโควิด??
ในช่วงก่อนหน้านี้ที่ประเทศบราซิลเริ่มมีการติดเชื้อของไวรัสโควิด ทางรัฐบาลหรือ สัดส่วนการบริหารความเสี่ยง หรือ ผู้นำประเทศนั้น ได้มีคำสั่ง Lock Down ซึ่งเป็นหลักการปกติ ในการควบคุมโรคระบาด เฉกเช่นเดียวกันกับ นานาชาติทั่วโลก ที่ก็ยืนยันใช้วิธีดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยในเบื้องต้น ประเทศบราซิลเป็นเขตร้อนชื้น และ เป็นพื้นที่ที่ไวรัสเติบโตได้ไม่ดีเท่ากับ พื้นที่ ที่มีอุณภูมิต่ำกว่า หรือ พื้นที่เขตหนาว ที่เหมาะสำหรับการเติบโตของเชื้อแน่นอน แต่แล้วทำไมกันละ
อะไรนำพาบราซิลเช้าสู่ขุมนรกโควิด ??
ในวันที่ 21 เมษายน 2 วัน หลังจากวันที่บราซิล ชี้แจงว่าประเทศตนเองรักษาผู้ป่วยหายเป็นจำนวนกว่า 8000 ราย
ประธานาธิบดี ชาอีร์ บอลโซนาโร ของบราซิล ออกมาร่วมชุมนุมประท้วง ให้ท้ายผู้ชุมนุมในประเทศเพื่อต่อต้านมาตรการ Lock Down ด้วยตัวเอง (ซะงั้น ทำเพื่ออะไร?)
เมื่อผู้นำให้ท้าย การขาดวุฒิภาวะ และ การร่วมการชุมนุมต่อต้านซะเอง…
โดยชาอีร์ บอลโซนาโร ชี้แจงก่อนหน้าที่จะเกิดการประทุระเบิดครั้งใหญ่ว่า โควิด ก็แค่ไข้หวัดธรรมดา และ สามารถรักษาให้หายได้ และกล่าวประณามจีนที่ประโคมข่าวทำให้ทั่วโลกต้องหวาดกลัวกับโรคดังกล่าว จนเกินไป
โดยเพื่อสร้างความมั่นใจ ในสถานการณ์ดังกล่าว ชาอีร์ บอลโซนาโร กับคณะ เดินทางเข้าพบ ประธานาธิบดี โดนัลทรัมป์ ในช่วงเดือนมี.ค. จากความผยองว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความปลุกระดมตื่นตระหนก โดยเดินทางพบเสร็จ และ กลับมาจากรัฐฟลอริดา ปรากฏว่าคณะเดินทางของเขากว่า 20 คน กลายเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิดทันที ถือเป็นหายนะของการประชาสัมพันธ์เรื่องสถานการณ์โควิด อย่างเป็นทางการของบราซิล
ไปให้สุด แล้วหยุดที่เป็นโควิด ?
จากการติดเชื้อเมื่อทาง นำทางสู่การร่วมชุมนุม ใครบอกกันล่ะว่าจะหยุด เมื่อเกิดเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่ของประเทศ เพราะประชาชนไม่พอใจในการ Lock Down ของรัฐบางรัฐ ทำให้ชาอีร์ บอลโซนาโร เดินทางร่วมชุมนมให้ท้ายด้วยตัวเอง ด้วยการชี้แจงว่า การ Lock Down จะยิ่งทำให้บราซิลประสบกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเค้าประนามมาตรการนี้ว่า เป็นมาตรการ “เผด็จการ”
โดยการชุมนุมดังกล่าวเกิดที่กรุงบราซิเลีย โดยใช้ชื่อกลุ่มเป็นกลุ่มรักชาติ และ ปกป้องเสรีภาพส่วนบุคคลของตนเอง โดยในการชุมนุมนี้มีผู้ร่วมชุม ถือป้ายต่อต้านมาตรการดังกล่าว รวมถึงเนื้อหาที่เรียกร้องให้ปิดสภาคองเกรสและศาลสูงสุดรวมทั้งต้องการให้กองทัพเข้ามารับช่วงต่อรับมือวิกฤติโควิด-19 ด้วย
และในการชุมนุมครั้งนี้ ผู้ร่วมชุมนุม รวมถึง ชาอีร์ บอลโซนาโร เอง ไม่มีผู้ใดสวมใส่หน้าการป้องกัน และ มาตรการระยะห่างทางสังคม Social Distancing โดยการแสดงออกดังกล่าว เป็นการแสดงสัญลักษณ์เพื่อยึดมั่นในคำพูดของ ชาอีร์ บอลโซนาโร ว่า โควิด เป็นเพียงโรคไข้หวัดธรรมดา ที่รุนแรงกว่าเท่านั้นเอง
โดยในช่วงของการปราศรัยนั้น ชาอีร์ บอลโซนาโร มีอาการไอตลาดช่วงการพูด และ มีอาการของการป่วยอย่างชัดเจน แต่ยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดในช่วงนั้น ว่าชาอีร์ บอลโซนาโร เป็นโควิดรึเปล่า ?
บราซิลโควิด เมื่อเชื้อเริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง และ สวนกลับทุกคำพูดที่เคยปรามาสที่กล่าวกับมัน
ก่อนหน้านี้ที่ชี้แจง ประธานาธิบดี ชาอีร์ บอลโซนาโร เคยดูแคลนว่าโควิด ไม่ได้เป็นอะไรที่ร้ายแรง แค่ไวรัสธรรมดา แต่หลังจากเหตุการณ์ชุมนุมดังกล่าว ประธานาธิบดี ชาอีร์ บอลโซนาโร มีอาการไข้ขึ้นสูงผิดปกติ และนั่นทำให้อาการของเค้าแย่ลงเรื่อย มีความจำเป็นต้องเข้าตรวจหาเชื้อไวรัส โดยมีการตรวจกว่า 3 รอบ แล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น
“บิงโก” เมื่อผลการตรวจรอบที่ 4 ของ ประธานาธิบดี ชาอีร์ บอลโซนาโร หลังจากที่ไข้ไม่มีท่าทีจะลด ผลตรวจรอบที่ 4 ชี้ชัดว่า เค้าติดโควิดซะเอง และได้รับการรักษาแล้ว
กระแสตีกลับ และ การประทุระบาดขึ้นอัน 2 ของโลก
ปัจจุบัน บราซิล มีผู้ติดเชื้อที่ยังรักษาไม่หายกว่า 3 ล้านคน และรักษาหายแล้ว 2 ล้าน คน เสียชีวิตกว่า 1 แสนคน พุ่งขึ้นเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งคละคลุ้งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้ เกิดการชุมนุมขับไล่ ประธานาธิบดี ชาอีร์ บอลโซนาโร ในเรื่องของการล้มเหลว ในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด เกิดการประท้วงและการจลาจล ในรีโอเดจาเนโร เกิดการกระทบกระทั่งของเจ้าหน้าที่และ ผู้ประท้วง โดยมีหญิงประเภทสองคนนึงถูกรุมตี ส่วนที่เมืองเซาเปาโล กลุ่มผู้ประท้วงถือแผ่นป้ายขับไล่นายโบลโซนารู โดยอ้างว่านายโบลโซนารูคุกคามประชาธิปไตยในบราซิล ทั้งยังล้มเหลวในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในบราซิล
โดยสรุปแล้วนั้น สาเหตุของการนำพาบราซิลไปสู่วิกฤตนี้อย่างหนัก ก็พูดอย่างเดียวไม่ว่าเป็นเพราะโควิด ที่ยากเกินควบคุม แต่เป็นเพราะประชาชน รวมไปจนถึงผู้นำเอง ก็ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การขาดวินัย โดยไม่มีการป้องกันตัวเอง และ ใช้ระยะห่างสังคม ขาดความรัดกุมในการบริหารจัดการ และ การสั่งการจากผู้รับผิดชอบ ที่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น และยากต่อการควบคุม
และเพื่อการป้องกันตัวเองที่ดี จะหวังพึ่งแต่สังคมคงไม่พอ คงต้องเริ่มป้องกันจากตัวเอง และควรเริ่มป้องกันจากภายในสู่ภายนอก ที่ป้องกันได้นอกเหนือจาก การใส่หน้ากาก
ขอแนะนำ ผลิตภัณฑ์ สำหรับเสริมภูมิคุ้มกัน
เบต้ากลูแคน เป็น สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
มีคุณสมบัติกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง และ ทำให้เกิดการตายของเซลล์เม็ดเลือดขาวน้อยลง
- และเมื่อเซลล์แข็งแรง ทำให้ความสามารถ
- ในการต้าน ไวรัส แบคทีเรียดีขึ้น
- โดยให้ผลทำงานดีกว่า Vit-C ถึง 5 เท่า
- เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ (ยีสต์ดำ)
เบต้ากลูแคนทำหน้าที่กระตุ้นเม็ดเลือดขาว (Macrophage) ที่รับผิดชอบกิจกรรมต่าง ๆ จำนวนมากในการป้องกันและส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และให้ความต้านทานที่เหมาะสมต่อสิ่งที่เข้ามาโจมตี เซลล์ Macrophage เป็นเซลล์สำคัญชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน โดยทำหน้าที่ดูดกลืนสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายและทำลายไป