ไข้หวัดนก รายแรกที่จีน
ในขณะที่การแพร่ระบาด ของโรคโคโรนาไวรัส (โควิด-19) ยังคงแพร่กระจาย และ สร้างความหายนะไปทั่วโลก ภัยคุกคามด้านสุขภาพ อีกหนึ่งประการหนึ่ง ที่กลับมาอุบัติใหม่
ก็เกิดขึ้นในประเทศจีน ประเทศจีน ได้รายงานกรณี ที่ได้รับการยืนยันครั้งแรก ของไข้หวัดนก สายพันธุ์ H10N3 ที่หายาก ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 ในเมืองเจิ้นเจียง ประเทศจีน
ไวรัสไข้หวัดนก เคยเขย่าขวัญชาวโลก รวมถึงชาวไทยมาแล้ว ในปี 2011 โดย ในหลาย ๆ ประเทศ ถึงกับทำการฆ่าสัตว์ปีกเป็นจำนวนมาก เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อ ที่อาจจะขยายเป็นวงกว้าง และ ทำให้การแพร่ระบาด
ในมนุษย์นั้น เป็นเรื่องเลวร้าย เกินควบคุม วิธีการนี้ จึงเป็นวิธีการที่เห็นว่า ลดการแพร่ระบาดได้เร็วที่สุด และ ทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
แต่เมื่อไม่นานมานี้ กลับพบความน่ากลัว ของการกลับมาติดเชื้อ ในมนุษย์ ของไข้หวัดนก ในวิกฤตการณ์ ที่การแพร่ระบาด ของ covid-19 ยังไม่จบ โลกต้องเจอกับเชื้อราดำ ซ้ำทับที่อินเดีย และ ในความไม่แน่นอนนี้
มีรายงานที่แน่นอนว่า คนติดแน่ กับเชื้อ “ไข้หวัดนก”
มีรายงานว่า ชายวัย 41 ปีติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก สายพันธุ์ H10N3 แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข กล่าวว่าความเสี่ยงของการระบาดในวงกว้าง ที่จะติดจากคนสู่คนนั้นต่ำ ชายคนนี้
ไปโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 28 เมษายน ภายหลังมีไข้ และ มีอาการอื่นๆ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดว่าชายผู้นี้ ติดเชื้อไวรัส ไข้หวัดนกได้อย่างไร
เนื่องจาก ไม่สามารถแพร่เชื้อ ไวรัสไปสู่คนได้โดยง่าย การวินิจฉัยโรคไข้หวัดนก H10N3 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม
ขณะนี้ ชายคนนี้กำลังพักฟื้นที่โรงพยาบาล และ รอการรักษาให้หาย และ กลับบ้านในลำดับถัดไป และ ยืนยันการติดเชื้อ
“ขณะนี้ ยังไม่ทราบแหล่งที่มาของผู้ป่วย ที่สัมผัสเชื้อไวรัส H10N3 และ ไม่พบกรณีอื่นใด ในการเฝ้าระวังฉุกเฉิน ในหมู่ประชากรในท้องถิ่น ในขณะนี้ ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่า
มีการแพร่เชื้อจากคนสู่คน” องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าว
“ตราบใดที่ไวรัสไข้หวัดนก แพร่กระจายในสัตว์ปีก การติดเชื้อไข้หวัดนก ในมนุษย์เป็นระยะๆ ก็ไม่น่าแปลกใจ
ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจอย่างชัดเจนว่า ภัยคุกคามจากการระบาดใหญ่ ของไข้หวัดใหญ่ยังคงมีอยู่” หน่วยงานด้านสุขภาพกล่าวเสริม
ไข้หวัดนก รายแรกที่จีน ชนิดย่อย H10N3 คืออะไร?
ไข้หวัดนก อาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยในมนุษย์ได้ เช่น มีไข้ ปวดตามร่างกาย ไอ และเจ็บคอ ในกรณีที่รุนแรง อาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ที่มีความร้ายแรงได้
ไวรัส H10N3 เป็นไวรัสชนิดย่อย ที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ ไวรัสนี้หายาก ในนกป่า และหายากมากในช่วง 40 ปีก่อน ในปี 2018 มีรายงานผู้ติดเชื้อประมาณ 160 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในนกป่า และ นกน้ำ
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H10 มีอยู่ในนก และ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทั้งในประเทศ และ ในธรรมชาติ ไวรัสเหล่านี้ ถูกแยกได้ในนกน้ำ หลากหลายสายพันธุ์ ทั่วพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ทั่วโลก มานานกว่าห้าทศวรรษ
ไวรัสนี้ มีความสามารถในการแพร่ระบาดในนก เนื่องจากขาจับกับเซลล์ของไวรัสนั้น สามารถจับได้กับเซลล์ของนกพอดี ทำให้เกิดการแพร่ระบาดในนกขึ้น แต่บางสายพันธุ์ ทำให้เกิดโรคในไก่ได้สูง เช่นกัน
บางครั้ง ไวรัสเหล่านี้สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้ ตัวอย่างเช่น ไวรัส H10N3 ถูกแยกได้ ว่าเกิดการติด ในฮ่องกงในปี 1978 และ ตลาดนกที่มีชื่อเสียง
ในประเทศไทย ในปี 2011 แต่วิธีที่ H10N3 แพร่เชื้อ และ ทำให้เกิดโรค ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นั้นยังไม่ชัดเจน
ไวรัส H10 เกิดโอกาสติดเชื้อได้ต่ำ ในขาจับของเซลล์ ในมนุษย์ แต่กับตัวรับของนก อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไวรัสได้ปรับตัว ให้เข้ากับสปีชีส์อื่น
โดยมีรายงานว่าไวรัส ที่กระโดดจากสายพันธุ์นก ไปเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงมนุษย์ด้วย
มีเชื้อไข้หวัดนกหลายสายพันธุ์ ในประเทศจีน บางสายพันธุ์ ติดเชื้อในมนุษย์เป็นระยะๆ
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา การแพร่ข้ามสายพันธุ์ ของไวรัสเหล่านี้ สู่มนุษย์ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีกรณีไข้หวัดนก ที่มีนัยสำคัญ ตั้งแต่สายพันธุ์ H7N9 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 300 คนในปี 2559
เนื่องจากความหายากของไวรัสนี้ ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยในมนุษย์ การทดสอบทางพันธุกรรม จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อตรวจสอบ ว่ามีความคล้ายคลึงกันกับไวรัสอื่น ๆ หรือ เป็นการผสมผสานใหม่
จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาไวรัส เพื่อพิจารณาว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ ต่อชุมชนหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากโลกยังคงเผชิญกับการระบาดใหญ่ ของโคโรนาไวรัส
การเฝ้าระวังการระบาดที่อาจเกิดขึ้น
เชื่อกันว่าการเฝ้าติดตามเชื้อโรค เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการระบาดในอนาคต แม้ว่าเชื้อไวรัส H10N3 ในปัจจุบันจะ เป็นกรณีที่แยกได้ ว่ายังไม่ได้อันตรายในมนุษย์
แต่ก็ไม่ควรมองข้าม ควรดำเนินโครงการเฝ้าระวัง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการรายงานการติดเชื้อ เพิ่มเติม
ที่มา: Reuters